แผนธุรกิจคือ
โลกของธุรกิจที่ประกอบด้วยองค์ประกอบหลายด้าน ใช่ว่าจะเป็นเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
สำหรับ
วางแผนภาษี
ก็เป็นโลกภายในแผนธุรกิจเป็นองค์ประกอบด้านที่สำคัญทางการวางแผนทางการเงินด้านหนึ่งที่มีด้านอื่นๆของการเงินรวมอยู่ด้วย บางธุรกิจขาดการวางแผนทางภาษีและไม่เข้าใจภาษี
จึงส่งผลกระทบให้กิจการนั้นๆแทบล้มละลายไปได้เช่นกัน
ดังนั้นองค์ประกอบของแผนธุรกิจเกือบทุกหัวข้อมีความสำคัญด้วยกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจนั้นๆมีความรุนแรงในการแข่งขันมากน้อยเพียงใด
หวังว่าพอจะนำไปสรุปประเด็นในข้อที่ 1
ของการสอบได้นะคะ
อย่าลืมใช้หลัก
ที่อาจารย์สอนในชั่วโมงแรกเป็นหลักในการวิเคราะห์
หน่องก็ยังไม่ได้ทำเพียงแต่รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นก่อนเกรงว่ากว่าจะทำเสร็จก็เย็นแล้ว จะไม่ทันการณ์เพื่อนๆ
GOOD LUCK
NINONG
แผนธุรกิจที่ดีย่อมช่วยในการวัดถึงความเป็นไปได้ของกิจการที่จะลงทุน
ตัวแผนจึงควรประกอบด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียดในตัวแปรหรือปัจจัยดังต่อไปนี้
1. สินค้าหรือบริการที่จะขาย
2. กลุ่มลูกค้าที่คาดหวัง
3.
จุดแข็งและจุดอ่อนของกิจการที่จะทำ
4. นโยบายการตลาด
5. วิธีการหรือกระบวนการในการผลิต
รวมถึงเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ต้องใช้
6. ตัวเลขทางการเงิน
นับตั้งแต่รายได้ที่คาดว่าจะได้ ค่าใช้จ่าย กำไร ขาดทุน จำนวนเงินลงทุนที่ต้อง
การ และกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้มาหรือใช้ไป
แผนธุรกิจสำคัญอย่างไร
แผนธุรกิจสำคัญในฐานะ
1. ที่จะให้รายละเอียดของการเริ่มต้นธุรกิจ
แผนธุรกิจทำให้ผู้ประกอบการมีเป้าหมายที่ชัดเจน
กำหนดแนวทางของความคิดและช่วยให้ผู้ประกอบการแน่วแน่ต่อการใช้ทรัพยากรและกำลังพยายามและ
ไปสู่เป้าหมาย
2. เป็นเครื่องมือที่จะแสวงหาเงินทุนจากผู้ร่วมลงทุน จากกองทุนร่วมลงทุน
และจากสถาบันการเงินต่างๆ
3. ที่เป็นเสมือนพิมพ์เขียวที่ให้รายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ
ทั้งกิจกรรมในการจัดหาเงินทุน
กิจกรรมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กิจกรรมการตลาด และอื่นๆ ในการบริหารกิจการใหม่
แผนธุรกิจยังใช้เพื่อกำหนดการปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องในอนาคตของกิจการด้วย
ทำไมต้องพิถีพิถันกับการเขียนแผนธุรกิจ
ผู้ที่ริเริ่มจะก่อตั้งธุรกิจใหม่ จำเป็นต้องให้เวลากับการเขียนแผนธุรกิจ
เพื่อให้ได้แผนที่ดี ทั้งนี้เพราะ
1.
แผนที่ดีเป็นตัวชี้ว่าผู้เขียนมีความสมารถ ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดความฝันเท่านั้น
แผนที่ดีจะทำให้ผู้ร่วมลงทุนหรือผู้ให้กู้แน่ใจว่า
ผู้ประกอบการใหม่สามารถทำให้ความคิด
ความฝันกลายเป็นความจริงได้
2.
แผนที่ดีชี้ให้เห็นว่าผู้เขียนเป็นมืออาชีพ
ความสมบูรณ์ครบถ้วนของแผนจะเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการมีความสามารถและความใส่ใจเพียงใด
เพราะถ้าแผนขอกู้ยังไม่มีคุณภาพ
ย่อมคาดหวังไม่ได้กับคุณภาพการประกอบการในอนาคต
3.
แผนที่ดีชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีการเตรียมตัวอย่างดี
แผนจะบอกถึงระดับความเตรียมพร้อมในธุรกิจที่จะลงทุน ชี้ให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความรู้เท่าทันในธุรกิจนั้นๆ
ขนาดไหน
ยิ่งถ้ามีระดับการเตรียมพร้อมและทางหนีทีไล่มากเท่าไร
ยิ่งทำให้ผู้ร่วมลงทุนหรือผู้ให้กู้รู้สึกเสี่ยงน้อยลงเท่านั้น
4. แผนที่ดีเผยให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีวิสัยทัศน์ คือเป็นผู้เล็งการณ์ไกล
และมีวิธีจะจัดการกับสิ่งท้าทายในอนาคต
แผนธุรกิจที่ดี เมื่ออ่านแล้วจะต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้
1.
การก่อตั้งธุรกิจเป็นรูปร่างชัดเจนขนาดไหน เสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง
2. ธุรกิจนี้น่าลงทุนหรือไม่
3.
ธุรกิจมีแนวโน้มหรือโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตั้งแต่เมื่อแรกตั้งมากน้อยขนาดไหน
4.
ธุรกิจนี้มีความได้เปรียบหรือความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวมากน้อยเพียงใด
5.
สินค้าที่จะผลิตมีวิธีการผลิตที่มีประสิทธิภาพเพียงใด้
6.
สินค้าที่ผลิตสามารถวางตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด
7. วิธีการผลิตและการวางตลาดสินค้านั้น
มีทางเลือกอื่น ๆ ที่ประหยัดได้มากกว่าหรือไม่
8. หน้าที่ต่าง ๆ เช่น การผลิต
การจำหน่าย การจัดการทางการเงิน การจัดการคน มีการจัดการที่ดีและ
เหมาะสมเพียงใด
9.
จำนวนและคุณภาพของพนักงานที่ต้องการมีเพียงพอหรือไม่
แผนธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการ
SMEs จะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก
ซึ่งแผนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานในอนาคตของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานในองค์กร
รวมทั้งเป็นประโยชน์แก่สถาบันการเงินและนักลงทุนภายนอกที่จะเป็นแหล่งเงินทุนให้แก่กิจการในอนาคตได้
โดยปกติแผนธุรกิจจะบอกให้เราทราบว่าปัจจุบันเราเดินอยู่ ตรงไหน อนาคตจะไปอยู่ที่ใด
ด้วยวิธีการอย่างไร โดยทั่วไปองค์ประกอบของแผนธุรกิจจะประกอบไปด้วย10 หัวข้อหลัก
ดังนี้
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
เป็นส่วนที่สรุปใจความสำคัญ ๆ
ของแผนธุรกิจทั้งหมด และต้องเป็นเอกสารที่สมบูรณ์ในตัวเอง (Stand
alone document) โดยจะชี้ให้เห็นประเด็นที่มีความสำคัญ
คือ จะชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสจริงเกิดขึ้นได้ในตลาดสำหรับ
ธุรกิจที่กำลังคิดจะทำ และชี้ให้เห็นว่า
สินค้าและบริการที่จะทำนั้น สามารถใช้โอกาสในตลาดให้เป็นประโยชน์ได้
อย่างไร
ดังนั้นบทสรุปจึงมีความจำเป็นต้องเขียนให้เกิดความน่าเชื่อ หนักแน่น
มีความเป็นไปได้
เนื่องจากบทสรุปของผู้บริหารเป็นเพียง "บทสรุป"
จึงต้องเขียนให้สั้น กระชับ และกะทัดรัด (ไม่ควรเกิน 2 - 3 หน้า)
และเป็นส่วนสุดท้ายในการเขียนแผนทังหมด เนื้อหาในบทสรุปของผู้บริหารควรได้กล่าวถึง
- จะทำธุรกิจอะไร
มีแนวคิดเกี่ยวกับธุรกิจนั้นอย่างไร
โดยอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของสินค้าและบริการ
- โอกาสและกลยุทธ์
บอกถึงความน่าสนใจ ตลอดจนแนวโน้มของธุรกิจ
ที่จะแสดงว่าโอกาสทางการตลาดนั้นเปิดทางให้
- กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อธิบายถึงลักษณะทางการตลาด
กลุ่มลูกค้าหลัก การวางแผนการเข้าถึง ลูกค้า
-
ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันของธุรกิจ รวมถึงทางด้านตัวผลิตภัณฑ์
และความได้เปรียบต่อคู่แข่งขัน
-
ทีมผู้บริหาร สรุปถึงความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และทักษะ ควรจำกัดไม่เกิน
3 - 5 คน และเป็น ผู้ที่มีผลกระทบต่ออนาคตและความสำเร็จของธุรกิจ
-
แผนการเงิน/การลงทุนโดยระบุถึงเงินลงทุน จะทำอะไร ผลตอบแทนของการลงทุน
จะเป็นเท่าไร
2. ประวัติกิจการ / ภาพรวมของกิจการ
ในส่วนนี้เป็นการให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับความเป็นมาของการก่อตั้ง /
จดทะเบียน ตลอดจนแนวคิด และการเล็งเห็นโอกาสทางการตลาด การคิดค้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ที่จะนำเสนอให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
และควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายในระยะยาวที่ต้องการจะเป็นในอนาคต
3. การวิเคราะห์สถานการณ์
การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เรียกกันว่า “SWOT
ANALYSIS” แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
3.1 การวิเคราะห์ปัจจัยภายใน
เป็นการตรวจสอบความสามารถ ความพร้อมของกิจการในด้านต่าง ๆ
โดยมุ่งเน้นในส่วนที่เป็นจุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน
(Weaknesses) ของกิจการ
3.2
การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก
เป็นการประเมินสภาพแวดล้อมที่ผู้ประกอบการไม่สามารถควบคุมหรือ
เปลี่ยนแปลงได้ ในลักษณะที่เป็นโอกาส (Opportunities) หรืออุปสรรค(Threats)ในสถานการณ์ปัจจุ
บันผู้ประกอบการควรได้เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัยภายนอกเนื่องจากเป็น
ปัจจัยที่ผู้ประกอบการไม่สามารถควบคุมได้
โดยทั่วไปปัจจัยภายนอกที่มีความสำคัญที่ผู้ประกอบการ
ควรจะต้องให้ความสนใจ มี 7 ประการ สามารถเรียกง่าย ๆ ว่า "MC-STEPS"
โดยมีความหมายพอ
สรุป ได้ ดังนี้
M = Market คือ
กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
C = Competition คือ
สถานการณ์การแข่งขัน
S = Social คือ
ค่านิยมทางวัฒนธรรมของสังคม เช่น การใช้สินค้าที่มียี่ห้อ
T = Technology คือ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
E = Economic คือ
สถานการณ์
P = Political &
Legal คือ สถานการณ์ของการเปลี่ยนแปลงเรื่องกฎ
ระเบียบต่าง ๆ
S = Suppliers คือ
กลุ่มผู้จำหน่ายวัตถุดิบ / กลุ่มผู้ผลิตและเครือข่าย
4. วัตถุประสงค์ และเป้าหมายทางธุรกิจ
เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่กิจการต้องการได้รับในช่วงระยะเวลาของการจัดทำแผน
โดยทั่วไปเป้าหมาย
ธุรกิจแบ่งออกเป็น เป้าหมายโดยรวมของกิจการ
และเป้าหมายเฉพาะด้านในแต่ละแผนก/ลักษณะของงาน
นอกจากนี้เป้าหมายทางธุรกิจยังควรแบ่งเป็น
เป้าหมายระยะสั้น ในช่วงระยะเวลา 1 ปี เป้าหมายระยะ
ปานกลาง ระยะเวลา 3 - 5 ปี
และเป้าหมายระยะยาว ที่นานกว่า 5 ปี
ลักษณะเป้าหมายธุรกิจที่ดี ประกอบไปด้วย
4.1 ความเป็นไปได้ หมายถึง
กิจการมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมาย
4.2 สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ
ความชัดเจนที่สามารถประเมินได้ว่ากิจการบรรลุตามเป้าหมายแล้วหรือไม่
4.3 เป็นไปในทางเดียวกัน คือ เป้าหมายย่อย ๆ
ในแต่ละฝ่าย ควรมีลักษณะที่สอดคล้องกัน
5. แผนการตลาดและการวิจัย
แผนการตลาด
ในการทำธุรกิจนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมุมมองทางด้านการตลาด ผู้ประกอบการจะต้องหาให้ได้
หรือมองให้ออกว่าผู้บริโภคต้องการอะไร
แล้วผลิตสินค้าหรือบริการเพื่อสนองความต้องการนั้น
กำไรที่เกิดขึ้นนั้นคือผลงานจากการทำให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสูงสุด แผนการตลาดเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่าจะมีความเป็นไปได้แค่ไหน
โดยทั่วไปจะเป็นการวิเคราะห์
เพื่อกำหนดแผนการตลาด ดังนี้
5.1 กำหนดขอบเขตธุรกิจหรือขอบเขตการตลาด
(Market Definition)
5.2 การวิเคราะห์อุตสาหกรรม (Industry
Analysis) มีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้
- วิเคราะห์ลูกค้า
- วิเคราะห์คู่แข่ง
- วิเคราะห์ต้นทุน
- วิเคราะห์แนวโน้ม ส่วนใหญ่
5.3 การแบ่งส่วนตลาด (Market
Segmentation)
โดยทั่วไปจะนิยมแบ่งส่วนตลาดใน 4 ลักษณะ
ดังนี้
ภูมิศาสตร์
ประชากรศาสตร์
จิตวิทยา
พฤติกรรม
- ภาค
- อายุ
- รูปแบบการดำเนินชีวิต
- โอกาสซื้อบ่อยแค่ไหน - ในเมืองหรือชนบท - เพศ
- ชั้นวรรณะ สูง กลาง ต่ำ - ความภักดีต่อสินค้า - รายได้
กลยุทธ์ทางการตลาด
โดยทั่วไปการวางแผนทางด้านการตลาด มักจะมีขั้นตอนง่าย ๆ เรียกว่า
STP&4P’s ดังนี้
1. S มาจาก Segmentation
คือ การแบ่งส่วนตลาด ดังได้กล่าวไว้แล้วในหัวข้อ 5.3
2. T มาจาก Targeting
คือ การกำหนดลูกค้าเป้าหมายว่ากลุ่มไหนที่เราจะเลือก
โดยทั่วไปเรา
3. P มาจาก Positioning
คือ การสร้างภาพพจน์ในใจของลูกค้า
4.
4 P’s มาจากส่วนผสมที่ลงตัวในโปรแกรมทางการตลาด
4 ตัว เปรียบเสมือนแผนปฏิบัติการ(Action Plan) ทางการตลาด
ดังนี้
4.1 Product คือ
สินค้า/บริการ
4.2 Price คือ
ราคา
4.3 Place คือ
ช่องทางการจำหน่าย
4.4 Promotion
คือ การส่งเสริมทางการตลาด
นอกจากส่วนประสมทางการตลาด 4 P’s
ที่กล่าวมาแล้ว ยังมี 4 C’s ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนประสมทางการตลาดยุคใหม่ที่มองทางด้านความต้องการของผู้บริโภคและควรที่จะต้องนำมาใช้ร่วมในแผนปฏิบัติการทางการตลาดด้วย
ดังนี้
5.
4 C’s
5.1 Consumer Need คือ
ผลิต/ขายสินค้าตามความต้องการของลูกค้า
5.2 Customer Benefits คือ
ผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
5.3 Convenience คือ
เป็นสินค้าที่สะดวก
5.4 Communication คือ
การรับรู้ข่าวสารสินค้า
การวิจัย
การวิจัยคือจุดเริ่มต้นสำหรับการตลาด
หากไม่ทำวิจัยก่อนก็เหมือนกับบริษัทนั้น ๆ เข้าสู่ตลาดเหมือนคนตาบอด
การวิจัยทำให้บริษัทตระหนักว่า
โดยปกติแล้วผู้ซื้อในตลาดหนึ่ง ๆ จะมีความต้องการ ความเข้าใจ และความชอบต่างกันไป
เช่น ผู้หญิงต้องการรองเท้าที่ต่างจากผู้ชาย คนอ้วนต้องการรองเท้าต่างจากคนผอม
และเมื่อแฟชั่นเข้าสู่ตลาดรองเท้า ความชอบก็จะยิ่งขยายวงกว้างออกไป
ซึ่งเป็นผลจากความแตกต่างด้านรายได้ การศึกษาและรสนิยม
6.
แผนการบริหารจัดการและแผนการดำเนินงาน
เป็นการกำหนดโครงสร้างองค์กร
และผู้บริหารที่สอดคล้องกับแผนการดำเนินธุรกิจด้านอื่น ๆ ของ กิจการ
มีแผนด้านทรัพยากรบุคคลที่ดี ในส่วนนี้จะประกอบไปด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
6.1 สถานที่ตั้ง
6.2 โครงสร้างองค์กร และทีมผู้บริหาร
6.3 แผนด้านบุคลากร จำนวน เวลาทำงาน
ค่าตอบแทน ความรู้ ความสามารถ ทักษะ
6.4 เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ –
ซื้อ เช่า เช่าซื้อ
7. แผนการผลิต/ปฏิบัติการ
แผนการผลิตและปฏิบัติการที่ดีต้องสะท้อนความสามารถขององค์กรใน
"การจัดการกระบวนการผลิต
และปฏิบัติการให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล"
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับธุรกิจ โดยมุ่งเน้นประเด็น
การจัดการไปยังกระบวนการแปลงสภาพวัตถุดิบและทรัพยากรในการผลิต
ในการวางแผนปฏิบัติการ
ผู้ประกอบการต้องพิจารณาตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการผลิตตาม
ประเด็นที่สำคัญ คือ
7.1 คุณภาพ
7.2 การออกแบบสินค้าและบริการ
7.3 การออกแบบกระบวนการผลิต
และการตัดสินใจเรื่องกำลังการผลิต
7.4 การออกแบบผังของสถานประกอบการ
7.5 การออกแบบระบบงาน
และวางแผนอัตรากำลังคนในกระบวนการผลิต
โดยการพิจารณาถึงรายละเอียดของระบบงานเป็นการจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังในกระบวนการผลิต
การใช้เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ และการใช้อัตรากำลังคนที่เหมาะสม
สำหรับหน้าที่ต่าง ๆ คุณสมบัติของพนักงานทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะ
8. แผนการเงิน
เมื่อมีการกำหนดแผนการตลาด
แผนการบริหารจัดการ และแผนการผลิตได้แล้ว ที่สำคัญที่สุดคือต้อง
มีแผนการเงินมารองรับ
เนื่องจากในทุกกิจกรรมต้องใช้เงินทั้งนั้น
ในท้ายที่สุดของแผนธุรกิจจะต้องมีแผนการเงิน
ที่ดี โดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ
ดังนี้
8.1 สมมุติฐานทางการเงิน
เป็นการกำหนดปัจจัยหลัก ๆของการดำเนินงานเพื่อประมาณการทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยทั่วไปมีดังนี้
1) ยอดขาย
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่มาจากแผนการตลาดที่วางไว้
2) ต้นทุนขาย
ควรจะมาจากแผนการผลิตที่วางไว้
3)
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารมาจากแผนบุคลากร และกิจกรรมพัฒนาและส่งเสริมการขายต่าง
ๆ
4) ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย
ประเมินจากอัตราดอกเบี้ย และวงเงินกู้เดิมกับวงเงินกู้ที่จะขอเพิ่มมาใหม่
5) สินทรัพย์และค่าเสื่อม
มาจากประมาณการที่จะลงทุนในอนาคต เพื่อขยายกิจการและวิธีการคิดค่าเสื่อม
6) สินค้าคงคลัง
ประมาณการระดับสินค้าคงคลังที่เหมาะสม
7) ลูกหนี้การค้า
ประมาณการระยะเวลาระหว่างการขายสินค้า และการเก็บเงินได้จากการขาย
8) เจ้าหนี้การค้า
ประมาณการระยะเวลาสั่งซื้อของ และจ่ายเงินให้เจ้าหนี้
8.2 ประมาณการทางการเงิน
เป็นการประมาณการงบการเงินและการวิเคราะห์อัตราส่วนตามสมมุติฐานที่วางไว้
ประกอบไปด้วย
งบกำไรขาดทุน คือ
งบที่แสดงถึงผลการดำเนินงานของบริษัทตลอดงวดระยะเวลาบัญชโดยทั่วไปจะ
กำหนดให้เป็นรอบ 1 ปี หรือราย 6 เดือน
งบกำไรขาดทุน ประกอบด้วย รายการหลัก 3 รายการ คือ
1) ยอดขายหรือรายได้
2) ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือต้นทุน
3) ผลต่างของตัวเลขดังกล่าว ซึ่งก็คือ
กำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
งบดุล
คือ งบที่แสดงถึงฐานะการเงิน ภาระผูกพันในการชำระหนี้ และจำนวนทุนของบริษัท ณ
วันใดวันหนึ่งเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ณ วันสิ้นงวดของรอบระยะเวลาบัญชี
งบดุลประกอบด้วยรายการหลัก ๆ 3 รายการ คือ สินทรัพย์ หนี้สิน และทุน
หรือส่วนของเจ้าของ
งบกระแสเงินสด (Cash
Flow) คือ งบแสดงการเคลื่อนไหวของเงินสด
โดยจะแสดงถึงรายการได้มาและ
ใช้ไปของเงินสดหรือสิ่งที่เทียบเท่าเงินสดใน
3 กิจกรรมหลัก ๆ คือ
- เงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน
- จากการจัดหาเงินทุน
- จากการลงทุน
ดังนั้นความสามารถในการบริหารเงินสดของบริษัท
และสภาพคล่องทางการเงิน จะดูได้จากงบกระแส
เงินสด
โดยงบกระแสเงินสดที่ดีควรเป็นเงินสดที่ไหลเข้ามาจากการลงทุนมากที่สุดรองลงมาจากการดำเนินงาน
และจากการจัดหาเงินทุนน้อยที่สุด
งบกระแสเงินสดควรจะทำเป็นรายเดือน รายไตรมาส รายปี และอาจจะทำล่วง
หน้าไปหลายปี
ทั้งนี้แล้วแต่ความเหมาะสมของกิจการเพื่อที่จะทำให้รู้ถึงสถานะปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตของ
กิจการนั้น ๆ
การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงิน
แบ่งออกได้เป็น 4 ส่วนหลัก ดังนี้
1.
สภาพคล่อง
1.1
อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน
(Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน


หนี้สินหมุนเวียน
2.
ประสิทธิภาพในการใช้สินทรัพย์
2.1
อัตราหมุนเวียนของลูกหนี้ (Receivable
Turnover) = ขายเชื่อสุทธิ

2.2
อัตราหมุนเวียนของสินค้า (Inventory
Turnover)= ต้นทุนสินค้าขาย

2.3
ระยะเวลาเรียกเก็บหนี้ (Receivable
Turnover Period) =
365 x ลูกหนี้


ต้นทุนขาย
3.
ความสามารถในการบริหารงาน

สินทรัพย์ทั้งหมด

3.2
อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น
(Return On Equity : ROE)
= กำไรสุทธิ
x 100

3.3
อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating
Income Margin)
= กำไรจากการดำเนินงาน x
100

3.4
อัตรากำไรขั้นต้น (Gross
Profit Margin) = กำไรขั้นต้น
x 100
![]() |
ยอดขาย
4.
ความสามารถในการชำระหนี้

สินทรัพย์รวม

ส่วนของผู้ถือหุ้น

ดอกเบี้ยจ่าย
8.3 การประเมิณสถาณการณ์จำลอง
เมื่อจัดทำงบประมาณทางการเงินแล้ว
ลำดับต่อไปจะทำการประเมินสถานการณ์จำลองเป็นการ
วิเคราะห์ความไวต่อสถานการณ์เมื่อเกิดมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในอนาคต
จะขอยกตัวอย่างการประเมิน
สถานการณ์อยู่ 3 ลักษณะ ดังนี้
กรณีที่ดี เช่น
ยอดขายเพิ่ม 20 % ค่าใช้จ่ายลด 20 %
กรณีปกติ เช่น ยอดขายเพิ่ม 10 %
ค่าใช้จ่ายลด 10 %
กรณีแย่ เช่น ยอดขายลด 20 % ค่าใช้จ่ายเพิ่ม 20 %
ซึ่งทำให้ทราบถึงผลกระทบของตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปว่าจะมีผลต่อโครงการอย่างไร
เช่น
จะเกิดอะไรขึ้นถ้ายอดขายลด 20% และค่าใช้จ่ายเพิ่ม 20%
8.4 การวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุน
บอกถึงสภาพคล่องของโครงการ หมายถึง
ระยะเวลาทั้งหมดที่จะต้องใช้ไปในการที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์ที่ลงทุนไปนั้นกลับมาเป็นเงินสดอีกครั้งหนึ่ง
ระยะเวลาคืนทุนที่สั้นกว่าจะบอกถึงสภาพคล่องที่ดีกว่า และมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า
แต่อย่างไรก็ตามเกณฑ์ระยะเวลาคืนทุนนี้ มีจุดอ่อนอยู่ที่การไม่คำนึงถึงค่าของเงินตามเวลาหรือกระแสเงินที่เกิดขึ้นต่างเวลากัน
เกณฑ์นี้นำมารวมกันที่หาระยะเวลาคืนทุนโดยทันที
และการไม่นำกระแสเงินสดทุกจำนวนที่เกิดจากโครงการมาพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ
จะพิจารณาเฉพาะกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการได้คืนทุนเท่านั้น
รวมทั้งเกณฑ์นี้จะไม่เป็นธรรมสำหรับโครงการระยะยาวที่มีผลกำไรหลายปี
ในอนาคตจะให้น้ำหนักความสำคัญเป็นพิเศษกับโครงการระยะสั้นเป็นหลัก
ระยะเวลาคืนทุน หมายถึง
ระยะเวลาทั้งหมดที่โครงการจะให้กระแสเงินสดสุทธิรวมเท่ากับเงินลงทุนที่จ่ายเริ่มแรกพอดี
8.5 การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน
การเริ่มต้นธุรกิจใหม่จะต้องทำการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในการลงทุน
โดยการคำนวณหาจุดคุ้มทุนของธุรกิจก่อน
ซึ่งการวิเคราะห์จุดคุ้มทุนส่วนใหญ่จะใช้กำไรส่วนเกินเป็นหลักในการวิเคราะห์โดยพิจารณาจำนวนสินค้าที่ขายเป็นจำนวนเท่าใด
จึงจะมีรายได้เท่ากับค่าใช้จ่าย
จำนวนหน่วยขาย ณ จุดคุ้มทุน = ต้นทุนคงที่

หมายเหตุ
ต้นทุนผันแปร หมายถึง
ต้นทุนรวมที่ผันแปรตามจำนวนหน่วยที่ผลิตหรือขายได้
ต้นทุนคงที่ หมายถึง
ต้นทุนรวมที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามจำนวนหน่วยที่ผลิตในระหว่างช่วงการผลิตหรือช่วงการขายช่วงหนึ่ง
8.6 การวิเคราะห์มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV)
เป็นการประเมินโดยการนำความสำคัญของค่าของเงินตามเวลาเข้ามาคิดด้วย
วิธีการนี้จะหามูลค่า
ปัจจุบันของกระแสเงินสดรับที่เกิดจากโครงการในแต่ละงวดมารวมกัน
แล้วเปรียบเทียบกับมูลค่าปัจจุบันของเงิน
ลงทุนโดยกำหนดอัตราส่วนลดหรือผลตอบแทนที่ต้องการ
หากมีค่าเท่ากันหรือมูลค่าปัจจุบันสุทธิเป็นศูนย์ แสดงว่า
โครงการนั้นคุ้มทุนพอดี
หากมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดเข้ารวมกัน มีมากกว่ามูลค่าปัจจุบันของเงินลงทุน
ถือว่า
โครงการนั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าที่เราต้องการหรือคาดหวังไว้
ควรจะลงทุนในโครงการนั้น
หากไม่แล้ว
ก็ควรปฏิเสธไม่ลงทุนในโครงการนั้น
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ =
มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับ – มูลค่าปัจจุบันของเงินสดจ่าย
8.7
การวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนของการลงทุน (Internal Rate of Return - IRR)
เป็นอัตราส่วนลด/หรืออัตราดอกเบี้ยที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของเงินสดที่คาดว่าจะต้องจ่ายออกไปเท่ากับ
มูลค่าปัจจุบันของเงินสดที่คาดว่าจะได้รับเข้ามาตลอดอายุของโครงการ
หรือคือการหาส่วนลดหรืออัตราดอกเบี้ยที่ทำ
ให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิ NPV (Net
Present Value) เท่ากับ 0
อัตราผลตอบแทนที่ได้จากโครงการ :
เป็นอัตราผลตอบแทนที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันสุทธิของโครงการ = 0
9. แผนฉุกเฉิน
เป็นการบอกถึงเรื่องถ้าเกิดการผิดพลาด
กล่าวคือ ถ้าไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ยังมีแผนอื่นมารองรับที่จะทำอะไรต่อไปได้กับธุรกิจนี้ อาทิเช่น แปรผันธุรกิจ
หรือบริการนี้ไปยังธุรกิจอื่นไปยังแหล่งอื่น หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบอื่น เป็นต้น
ตัวอย่างของประเด็นความเสี่ยงและการเตรียมความพร้อมที่ควรระบุไว้ในแผนฉุกเฉิน
อาทิเช่น
-
ยอดขาย/เก็บเงินจากลูกหนี้ไม่ได้ตามคาดหมาย ทำให้เงินสดหมุนเวียนขาดสภาพคล่อง
และธนาคาร
ไม่ให้วงเงินกู้หรือลดวงเงินกู้
-
คู่แข่งตัดราคาหรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องระยะยาว
- มีคู่แข่งรายใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า
ทันสมัยกว่า มีสินค้าครบถ้วนกว่า ราคาถูกกว่า เข้าสู่อุตสาหกรรม
หรือมาตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
- สินค้าถูกลอกเลียนแบบและขายในราคาที่ถูกต้อง
-
สินค้าผลิตไม่ทันตามคำสั่งซื้อเนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบ
- สินค้าผลิตมากจนเกินไป
ทำให้มีสินค้าในสต็อกเหลือมาก
-
ต้นทุนการผลิต/การจัดการสูงกว่าที่คาดไว้
-
เกิดการชะงักการเติบโตของทั้งอุตสาหกรรม
- มีปัญหากับหุ้นส่วนจนไม่สามารถร่วมงานกันได้
10. ภาคผนวก
อาจเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลทางการตลาดของคู่แข่งขันที่มีอยู่ในตลาด
ของผู้ประกอบการเดิม มีจำนวนมากน้อยเท่าไร
และแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะเข้าไปมีส่วนแบ่ง ระบุถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน
ทางด้านตัวผลิตภัณฑ์ เน้นถึงจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์เดิม
บริการเดิมในตลาด แสดงให้เห็นถึงโอกาส ความได้เปรียบในด้านต่าง ๆ
ขอบคุณมากนะค่ะ
ตอบลบขอบคุณมากนะค่ะ
ตอบลบSlots by Pragmatic Play - AprCasino
ตอบลบPragmatic Play. Pragmatic https://tricktactoe.com/ Play. Pragmatic Play. Slot Machine. The Dog https://vannienailor4166blog.blogspot.com/ House. apr casino Slots. Wild West dental implants Gold. worrione.com Pragmatic Play. Jackpot Party.